TKP HEADLINE

เวียงอาลัมพางค์ที่ตามหา

 







เรื่อง เวียงอาลัมพางค์ที่ตามหา ข้อมูลนิทรรศการ งานหลวงเวียงละกอน ครั้งที่ 2 ปี 2565  ไฟล์เพื่อการดาวน์โหลด ด้านบน รวม 6 ไฟล์ภาพ 

เนื้อหาต้นฉบับ

กำเนิดเวียงอาลัมพางค์

   หลังจากที่พระสุพรหมฤาษีกำหนดชัยภูมิสร้างเมืองเขลางค์ ให้ท้าวอนันตยศเป็นกษัตริย์ครองพระนครแห่งใหม่นี้ทรงพระนามว่าเจ้าอินทรเกิงกร เมื่อปีพ.ศ.๑๒๒๓ แล้วนั้น เมืองเขลางค์นครถือว่าเป็นเมืองคู่แฝดกับนครหริภุญไชยซึ่งมีเจ้ามหันตยศแฝดผู้พี่เป็นผู้ปกครอง  

    เมืองเขลางค์นครที่ก่อตั้งจึงเป็น"เมืองอันสุขเกษม"ตามคำกล่าวของพระสุพรหมฤาษี ต่อจากนั้นเจ้าอินทรเกิงกรได้ทรงขอพระเถระเจ้าจากเมืองหริภุญไชยมาเผยแผ่พุพธศาสนาแก่ประชาราษฎร์ของพระองค์ และทรงสร้างวัดวาอารามขึ้นจำนวนมาก ต่อมาได้ทูลเชิญพระนางจามเทวีผู้เป็นพระมารดาให้เสด็จมาประทับ ณ เมืองเขลางค์นครเพื่อจะได้ปรนนิบัติทดแทนคุณพระมารดาในยามชราภาพ ดังหลักฐานในตำนานมูลศาสนา(ฉบับวัดเชียงมั่น)กล่าวว่า" เมื่อนั้นอินทวร (เจ้าอนันตยศ) รู้ข่าวว่าแม่ตนมาดั่งอั้น ก็จึงเอารี้พลเสนาตนมารับแม่เถิงกลางทาง ก็นำเอาแม่เมือสู่เมืองแห่งตนหั้นแล.....นางจามเทวีเมือฮอดแล้วก็หันราชสัมปัตติ(ราชสมบัติ)แห่งลูกตนบัวระมวรงาม(งามพร้อมบริบูรณ์) นางก็ยินดีนัก นางก็หาเครื่องอภิเษก......นางก็หื้อชุมนุมเสนาอำมาตย์ราชมนตรี.....มาทำอภิเษกลูกท่านเจ้าอินทวรหื้อเป็นพระยา(กษัตริย์) แล้วหื้อเล่นมหรสพ ๗ วัน ๗ คืน.....นางก็ขึ้นไปไหว้เจ้ารสี(สุพรหมฤาษี) ในดอยเขางาม.....เจียรจากับด้วยเจ้ารสีแล้วก็ลงมาสู่เมืองเขลางค์หั้นแล....."

    เพื่อให้มีเวียงที่ประทับแก่พระมารดาจึงทรงมอบให้พระสุพรหมฤาษีสร้างตำหนักแห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกของเขลางค์นครให้สามารเดินทางไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวกเรียกชื่อว่า"เวียงอาลัมพางค์ " ในตำนานมูลศาสนา(ฉบับกรมศิบปากร) กล่าวว่า ".....พระยาอินทวรสั่งให้อำมาตย์ตกแต่งพระตำหนักที่ประทับสำหรับพระราชมารดาในที่แห่งหนึ่ง สถานที่นั้นจึงเรียกชื่อว่า ลำพาง มาตราบเท่าถึงกาลบัดนี้" " ตำนานมูลศาสนา(ฉบับวัดเชียงมั่น) กล่าวว่า ".....ถัดนั้นอินทวรก็หื้อแต่งสนามที่ ๑ หื้อนางตนเป็นแม่อยู่กินเล่านั้นแห่งหั้น ก็เรียกว่า เมืองลำปางมาต่อเท่าบัดนี้แล....." ตำนานจามเทวีวงศ์กล่าวว่าพระนครแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ทางปัจจิมคือทิศตะวันตกของเขลางค์นคร ( ส่วนพงศาวดารโยนกกล่าวว่าอาลัมพางค์นครอยู่ทางทิศหรดี คือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเขลางค์นคร ) พระนางจามเทวีทรงประทับอยู่ในเขลางค์นคร ระหว่าง พ.ศ. ๑๒๕๑ - ๑๒๕๗ เป็นเวลา ๖ ปี พงศาวดารโยนกกล่าวว่า " เมืองนครเขลางค์และอาลัมพางค์ก็เป็นประดุจเมืองเดียวกัน ชนทั้งหลายจึงเรียกว่านครเขลางค์ลำปาง....."   ศักดิ์ รัตนชัยนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแห่งนครลำปางได้แสดงความเห็นว่า "อาลัมพางค์คือชื่อเมืองแฝดคู่เขลางค์นครปรากฏในตำนานจามเทวีวงค์และพงศาวดารโยนก.....อาลัมพางค์เป็นชื่อเมืองที่ใช้ในระยะสั้นๆ(แต่)มีอายุยาวนานกว่าพันปี....."

    และในคราวเสด็จมาในครั้งนั้นพระนางจามเทวีได้อัญเชิญพระพุทธสิกขีปฏิมาที่พระเจ้าอนุรุทแห่งเมืองพุกามให้ราชฑูตอันเชิญมาถวายยังเมืองเขลางค์นคร พระนางจามเทวีจึงถวายพระพุทธสิกขีปฏิมา

แก่เจ้าอินทรเกิงกรให้เป็นพระประจำเมืองนำไปประดิษฐานที่วัดเสตกูฎาราม(วัดกู่ขาว)ซึ่งสร้างขึ้นในบริเวณอาณาเขตของเวียงอาลัมพางค์เพื่อความสะดวกในการสักการะบูชา และพระเจ้าอินทรเกิงกรก็ได้เสด็จมาหาพระมารดาสม่ำเสมอมิได้ขาด

    จากบันทึกทางประวัติศาสตร์หลังพ้นจากยุคหริภุญไชยสู่ยุคสมัยล้านนาเมื่อปี พ.ศ ๒๐๕๘  เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี( คือพระรามาธิบดีที่ ๒ หรือ พระเชษฐาธิราช โอรสพระบรมไตรโลกนารถ )ยกทัพกรุงศรีอยุธยา มาตีเมืองละกอนและได้อัญเชิญพระพุทธสิกขีปฏิมาไปจากวัดกู่ขาว (ตรงกับวันอังคาร เดือนอ้ายขึ้น ๑๕ ค่ำปีกุนสัปตศก จุลศักราช ๘๗๗ ) นับจากเหตุการณ์ครั้งนั้นจนถึงยุคสมัยปัจจุบันนับเป็นเวลากว่า ๕๐๐ ปีมาแล้วยังไม่ปรากฏหลักฐานใดๆอีกเลยว่าพระสิกขีปฏิมาอยู่ที่ใดและมีผู้ใดครอบครอง

     ○ ตามหาเวียงอาลัมพางค์ 

      นับจากอดีตเมืองเขลางค์นครยุคหริภุญไชยสู่เมืองละกอนในยุคล้านนาจวบจนถึงนครลำปางในสมัยรัตนโกสินทร์ เป็นเวลานานกว่า ๑๓๐๐ ปียังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าเวียงอาลัมพางค์ที่พูดถึงนั้นตั้งอยู่ ณ ที่ใด

    หลักฐานสำคัญที่ยืนยันความมีอยู่จริงของเวียงอาลัมพางค์มีหลายประการได้แก่

    ๑. จากจารึกและตำนานหลายฉบับดังที่เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ต้นสอดคล้องตรงกันคือเวียงอาลัมพางค์ตั้งอยู่บริเวณนอกกำแพงเมืองเขลางค์นครทางทิศตะวันตกหรือตะวันตกเฉียงใต้ไม่ห่างจากเมืองเขลางค์นครมากนัก ข้อมูลจากอาจารย์ศักดิ์ รัตนชัยในหนังสือประวัตินครลำปางกล่าวไว้ดังนี้ " จากการสำรวจซากเมืองโบราณเขลางค์นครโดยการสำรวจทั้งภาคพื้นดินและทางอากาศจะพบเนินดินถนนโบราณทอดจาดศูนย์กลางวัดพระแก้วดอนเต้าผ่านทางประตูตาลหลังวัดหัวข่วงอันเป็นตัวเมืองโบราณสู่บริเวณวัดร้างปันเจิง( หรือวัดพันเชิง : ปัจจุบันเป็นที่ตั้งสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดลำปางและสำนักงานมัธยมศึกษาเขต ๓๕ ) สู่วัดพระเจ้าทันใจ ซึ่งมีบริเวณติดกับวัดกู่คำ วัดร้างกู่ขาว กู่แดง ซากวัฒนธรรมเก่าแก่ที่เหลืออยู่เป็นร่องรอยบริเวณรอบๆมีบ่อน้ำหลายแห่ง เศษกระเบื้องดินเผาและซากเตาไหบริเวณที่เรียกว่า บวกหม้อแกงตอง ( สระหม้อแกงทองเหลือง ) รวมทั้งซากวัดร้างที่ไม่ทราบประวัติอีกหลายแห่ง ร่องรอยชุมชนที่เคยอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยหริภุญไชย รวมทั้งเศษพระพุทธรูปปูนปั้นประดับพระเจดีย์วัดปันเจิงที่เก่าถึงสมัยหริภุญไชย พระเครื่องแบบหริภุญไชย ฯลฯ "

    ๒. วัดกู่ขาว  อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระพุทธสิกขีปฏิมา  มีหลักฐานจารึกและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความมีอยู่จริงกล่าวคือ  

เรื่องแรก  อาจารย์ศักดิ์ รัตนชัยกล่าวถึงในเหตุการณ์ในยุคล้านนาว่า" ในสมัยพระเจ้าติโลกราชแห่งราชวงศ์มังรายเมืองละกอนได้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดกู่ขาวพร้อมกับพระศิลาละโว้ที่พระนางจามเทวีนำไปประดิษฐานที่วัดหนองงูนำไปประดิษฐานที่วิหารละโว้ในวัดพระธาตุลำปางหลวง

เรื่องที่สอง  วัดกู่ขาวยังปรากฏชื่อในตำนานพระธาตุจอมพิงไชย กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนที่เจ้าหาญศรีทัตเจ้าเมืองละกอนจะสร้างอุโบสถ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๑ ว่า " .....พายสุร หลานอ้ายจอมแพล่  กับผ้าขาวหม่น ผ้าขาวอ้ายน้อย ผ้าขาวเหมืองใส เขาพร้อมกันเมืออาราธนาพระปารมีเป็นลูกชายหัวฝายละโว้มาอยู่วัดกู่ขาวนะคอร (นคร) มาอยู่รักษาพระพุทธเจ้ายัง(วัด)จอมพิงหั้นแล"

เรื่องที่สาม เหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน  ที่กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดร้างกู่ขาวเป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ 

  จากผลของการชนะคดีในศาลจังหวัดลำปางต่อเอกชนที่พยายามจะบุกรุกที่ดินจุดที่ตั้งวัดร้างกู่ขาว ด้วยความพยายามสู้คดีเพื่อทวงคืนสมบัติชาติของท่าน อาจารย์ศักดิ์ รัตนชัย (อันเป็นคุณเอนกอนันต์ต่อชาวลำปางที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง)      

     ๓. พระพุทธสิกขีปฏิมาในเวียงอาลัมพางค์นคร ที่มีจารึกในประวัติศาสตร์ระบุว่าได้ถูกอัญเชิญจากวัดกู่ขาวในคราวที่พระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยายกทัพมาตีเมืองละกอนเมื่อปี พ.ศ. ๒๐๕๘

     แม้มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนกับหลักฐานประกอบ

แต่ยังไม่อาจยืนยันในชั้นต้นว่าจุดที่ตั้งของเวียงอาลัมพางค์นั้นตั้งอยู่ ณ ที่ใดนั้นเพราะยังมีข้อโต้แย้งบางส่วนที่ต้องหาเหตุผลอธิบายอยู่อีก ๒ ประเด็น คือ  

        ๑) ว่าด้วยทิศที่ตั้งของเวียงอาลัมพางค์ ระหว่าง ทิศปัจจิม(ตะวันตก)กับบทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้)  ซึ่งมีผลต่อการกำหนดพิกัดที่ตั้งยังมีความเห็นที่แตกต่างกันของผู้รู้

         ๒) ร่องรอยของคูน้ำคันดินที่เป็นข้อยืนยันความเป็นเมือง (เวียง) จากความเห็นของ ศาสตรจารย์ ดร.สุรพล ดำริห์กุล แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ผ่านมายังหาร่องรอยและคำยืนยันไม่ได้

     ○ คลี่คลายประเด็นขัดแย้งและเหตุผลยืนยันจุดที่ตั้งของเวียงอาลัมพางค์

         ด้วยเหตุผลประเด็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับทิศทางดังกล่าว กรณีของเวียงอาลัมพางค์ในทิศหรดีหรือตะวันตกเฉียงใต้ จากพงศาวดารโยนกนั้นจึงมีนักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นบริเวณวัดพระธาตุลำปางหลวง แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงระยะทางทั้ง ๒ สถานที่แล้วห่างกันถึง ๑๖ กิโลเมตรจึงขัดแย้งกับข้อมูลที่ระบุว่าสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ทุกวันด้วยระยะทางไม่ห่างกันนักและชี้ชัดว่าเมืองทั้ง ๒ อยู่ใกล้กันดุจจะเป็นเมืองเดียวกัน

     แต่หากเป็นทิศตะวันตกของเมืองเขลางค์และทั้ง ๒ พระองค์ไปมาหาสู่กันดูแลกันได้ทุกวัน ๒ เมืองนี้คงมีระยะทางราว ๑ กิโลเมตร ในย่านโบราณสถานกลุ่มวัดกู่คำ จึงสอดคล้องความจริงมากที่สุดทั้งทิศทางและบริเวณที่ตั้ง

      เมื่อเชื่อมั่นว่าทิศทางและที่ตั้งชัดเจนแล้วว่าเป็นทิศตะวันตกในย่านโบราณสถานวัดกู่คำ กู่ขาว กู่แดง วัดปันเจิงและวัดพระเจ้าทันใจ ประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับคูน้ำ คันดินอันเป็นข้อบ่งบอกถึงความเป็นเวียงนั้น จากสภาพแวดล้อมที่เห็นและข้อมูลจากการสัมภาษณ์พระครูพุทธิธรรมโสภิต เจ้าอาวาสวัดพระเจ้าทันใจซึ่งอยู่ในพื้นที่ยาวนานแล้วพบว่า บริเวณของวัดพระเจ้าทันใจนั้นเดิมมีคูน้ำล้อมรอบทั้งหมด ปัจจุบันเหลือเพียงสระน้ำแนวยาวด้านหน้าพระอุโบสถและหักมุมไปทางด้านข้างทิศเหนือระยะหนึ่งบริเวณสระ นอกจากนั้นบางส่วนตื้นเขินเป็นมูลดินไม่มีสภาพเป็นคูน้ำแล้ว ส่วนด้านใต้และตะวันออกบางส่วนถูกถมและตื้นเขินไป จากสภาพดังกล่าวผู้ศึกษาประวัติศาสตร์เรื่องนี้ในฐานะผู้รวบรวมเนื้อหาจึงเชื่อมั่นว่า "วัดพระเจ้าทันใจ" นี้เองคือที่ตั้งของ "เวียงอาลัมพางค์"  อันมีเหตุผลประกอบ ดังนี้

๑) ร่องรอยถนนโบราณตามที่กล่าวไว้เริ่มต้นจากเวียงเขลางค์นครทอดยาวไปทางทิศตะวันตกจากประตูตาลและมาสิ้นสุดที่บริเวณวัดพระเจ้าทันใจ

๒) บริเวณที่ประทับของพระนางจามเทวี เป็นบริเวณพื้นที่ไม่ใหญ่โตกว้างขวางมากจนเกินไปมีลักษณะเป็น"เวียงเล็กๆ" มีคูน้ำล้อมรอบทุกด้าน อาจจะมีคันดินหรือกำแพงเวียงขนาดไม่ใหญ่นัก ยังมีหลักฐานที่คนรุ่นก่อนจดจำได้ว่าเคยมี "ประตูเวียงอาลัมพางค์"  ที่เรียกว่า"ประตูเก๊าขาม" (ประตูต้นมะขาม) ที่จะเข้าไปสู่ตัวพระตำหนักที่ประทับหรือตัวเวียงอาลัมพางค์ได้

๓) ระยะห่างจากเวียงเขลางค์นครไม่ห่างกันมากนักจนเรียกได้ว่าเป็นเมืองเดียวกันและทั้ง ๒ พระองค์เดินทางไปมาหาสู่กันได้ทุกวันมิได้ขาด

๔) ตำหนักที่ประทับ "เวียงอาลัมพางค์" เจตนาสร้างใกล้กับ เสตกูฎาราม (วัดกู่ขาว)ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิกขีปฏิมาอันจะทำให้พระนางจามเทวีเสด็จมาบำเพ็ญศีลภาวนาได้สะดวก แม้ในช่วง ๓ ปีหลังพระนางจะไปประทับยังเวียงเขลางค์นครสลับกับเจ้าอินทรเกิงกร พระนางก็สามารถเสด็จมายังเวียงอาลัมพางค์และเสตกูฎารามได้โดยสะดวกเพราะมีระยะทางไม่ไกลกันมากเกินไปนัก

๕) พระพุทธสิกขีปฏิมาประดิษฐานที่เสตกูฎาราม อาณาเขตเวียงเขลางค์นครตั้งแต่ปี พ.ศ. ๑๒๕๑จนถึงช่วงกองทัพกรุงศรีอยุธยามาตีเมืองละกอนสมัยอาณาจักรล้านนาและอัญเชิญไปในปี พ.ศ. ๒๐๕๘ เป็นเวลานานถึง ๘๐๗ ปี ตำหนักเวียงอาลัมพางค์คงได้กลายสภาพเป็นวัดตั้งแต่สมัยเวียงเขลางค์นครแล้ว

    ○ บทสรุป 

         แม้โดยเหตุผลแวดล้อม ทั้งจากจารึกฉบับต่างๆ โบราณวัตถุที่พบและข้อมูลจากผู้รู้จึงมีน้ำหนักเชื่อถือได้ว่า " เวียงอาลัมพางค์ " มีที่ตั้งอยู่อาณาบริเวณของวัดพระเจ้าทันใจทั้งหมด มีพื้นที่ติดกับเสตกูฎาราม(วัดกู่ขาว) ที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานไว้แล้ว ยังรอเวลายืนยันครบถ้วนสมบูณ์จากการขุดค้นทางโบราณคดีของกรมศิลปากรในย่านโบราณสถานกลุ่มวัดกู่คำนี้

        จึงเป็นมิติใหม่ทางประวัติศาตร์ นำร่องรอยแห่งอดีตมาเชื่อมโยงกับปัจจุบันให้เกิดทั้งความภูมิใจถึงรากเหง้าที่ดีงามของบรรพชนและปรับเปลี่ยนมาสู่การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกี่ยวโยงกับวิถีชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะอนุชนรุ่นต่อๆไป จนนำไปสู่อาณาจักรแห่งการท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเป็นการสร้างภูมิทัศน์ใหม่ของชุมชนจากความงอกงามของการระเบิดจากภายในก่อเกิดพลังสืบทอดไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง


Share this:

แสดงความคิดเห็น

ขอบคุณที่ได้ให้ความสนใจ

ข้อคิดเห็นจากเครือข่าย "ลำปางรักษ์เมืองเก่า"

 
Copyright © 2018 ลำปางรักษ์เมืองเก่า. Designed by OddThemes > Developed by mediathailand